Just Say No
.
โลกในมุมมองของ Value Investor
 24 เมษายน 64  ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
.
ตั้งแต่เกิดการระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาเมื่อต้นปี 2563  โลกของการลงทุนก็เปลี่ยนไป  จากการลงทุนโดย “มืออาชีพ” และนักลงทุนสถาบัน  รวมถึงนักลงทุนส่วนบุคคลผู้มุ่งมั่น เป็นผู้เล่นหลัก  ก็กลายเป็นนักลงทุนส่วนบุคคลรายย่อยที่เน้นการ “เก็งกำไร” เป็นหลัก   การเข้ามา “เล่น” ของพวกเขา  ทำให้ทรัพย์สินหรือหลักทรัพย์ทางการเงินจำนวนมาก  ซึ่งรวมถึงหุ้นและอนุพันธุ์ของหุ้น  และ Crypto Currency เช่น บิทคอยน์  มีราคาขึ้นไปอย่างรวดเร็วและสูงจน “กูรู” หรือผู้เชี่ยวชาญ  “รุ่นเก่า” ส่วนใหญ่มองว่า  “เป็นไปไม่ได้” และคิดว่าในที่สุดมันก็จะต้องตกลงมาอย่างแรงและคนที่เข้าไปเล่นก็จะเสียหายอย่างหนัก  ผมเองก็คิดอย่างนั้น  และโดยส่วนตัวก็ไม่ได้เข้าไปร่วมใน “มหกรรมการเก็งกำไร” ที่น่าจะพูดได้ว่ารุนแรงมากที่สุดครั้งหนึ่งของโลก  
.
ถ้าจะพูดว่าผมอาจจะ  “ตกยุค” ที่ไม่ตระหนักว่าโลกของการลงทุนกำลัง “เปลี่ยนไป”  ธุรกิจต่าง ๆ และโครงสร้างของการทำธุรกรรมการเงินรุ่นเก่ากำลังล่มสลายหรือถูก Disrupt และทำให้เสียโอกาสที่จะทำกำไรได้อย่างรวดเร็วในช่วง 1-2 ปีมานี้ผมก็ยอมรับ  เพราะการลงทุนในระยะสั้นนั้น  ผลงานการลงทุนย่อมขึ้นอยู่กับภาวะของตลาดอยู่ไม่น้อย  ในยามที่ตลาดกำลัง “ร้อนแรง” และมีการ “เก็งกำไร” ที่สูงมากอย่างในช่วงเร็ว ๆ  นี้  คนที่เล่นหุ้นหรือหลักทรัพย์ที่มีการเก็งกำไรสูงก็มักจะทำผลงานได้ดีมาก  บางคนปีเดียวสามารถทำกำไรได้เป็น 100% หรือหลายร้อยเปอร์เซ็นต์ก็มี  โดยวิธีการที่ทำก็คือการ “ไล่ล่า” หาหลักทรัพย์ที่วิ่งขึ้นไปแรงมาก ๆ  ซื้อแล้วขายอย่างรวดเร็วแล้วก็หาซื้อตัวใหม่เล่น  ทั้งหมดนั้นยังอาศัยการ “กู้เงิน”  ผ่านบัญชีมาร์จินและ/หรืออ็อปชั่นของหลักทรัพย์ซึ่งสามารถขยายผลตอบแทนเพิ่มขึ้นอีกมาก  ซึ่งทั้งหมดนั้นเป็นสิ่งที่นอกเหนือไปจากความรู้ความสามารถและพฤติกรรมการลงทุนของผมที่เน้น “การลงทุนระยะยาว” และหลีกเลี่ยง  “ความเสี่ยง” ที่จะเสียหายหนัก  หรือเรียกว่าเป็นการลงทุนแบบ “เต่า”
.
แน่นอนว่าผมเองก็รู้สึก “เสียดาย” อยู่เหมือนกันที่ทำไมไม่ซื้อหุ้นตัวนั้นหรือไม่เข้าไป “เล่น” สินทรัพย์แบบบิทคอยน์ในช่วงแรก ๆ  ที่ดูเหมือนว่ามันจะต้องขึ้นเมื่อคำนึงถึงขนาดของนักลงทุนรายย่อยที่แห่กันเข้ามาในตลาดอานิสงค์จากโควิด-19  มองย้อนหลังไป 1-2 ปีที่ผ่านมาผมเองก็รูสึกเหมือนกันว่าหุ้นหลายตัวหรือสินทรัพย์บางอย่างน่าจะต้องวิ่งขึ้นไปได้แรงแต่ผมก็ไม่ได้ทำอะไรกับมัน  บางทีอาจจะเป็นเพราะผมกลัวความเสี่ยงมากเกินไป  บางทีอาจจะเป็นเพราะว่าผมกังวลกับ  “ภาพใหญ่” ของเศรษฐกิจที่ไม่ดีอย่างมาก  หรือบางทีอาจจะเป็นเพราะอายุที่มากขึ้นทำให้คิดอะไรช้าลงและไม่อยากเคลื่อนไหวมากในสไตล์แบบ “เต่าที่กำลังเจอพายุ” ที่มักจะชอบ “อยู่นิ่ง ๆ”  ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร  การที่อยู่มานานและได้เห็นการขึ้นอย่างแรงของหุ้นหรือทรัพย์สินบางอย่างที่ไม่ได้มีพื้นฐานจริง ๆ  มารองรับ  และสุดท้ายมันก็ตกลงไปที่เดิมทำให้ผมคิดว่า  เราไม่ควรพยายามทำกำไรจากสิ่งที่เป็น “อนิจจัง” เหล่านั้น
.
ถึงวันนี้  ผมน่าจะมีหุ้นหรือสินทรัพย์ที่ผมมักจะ “Say No” หรือไม่ค่อยสนใจที่จะเข้าไปลงทุนหรือเกี่ยวข้องจำนวนไม่น้อย  ส่วนใหญ่หรือเกือบทั้งหมดจะเป็นหุ้นหรือหลักทรัพย์ที่กำลังวิ่งขึ้นร้อนแรงและให้ผลตอบแทนสุดยอดในระยะเวลาอันสั้น  เนื่องจากนักลงทุนหรือนักเล่นเก็งกำไรเข้าไปเล่นกันเป็นจำนวนมาก   และทั้ง ๆ  ที่ผมเองก็คิดว่าราคาก็คงจะขึ้นไปอีกและอาจจะสามารถทำกำไรได้ง่าย ๆ  แต่ผมก็ไม่ทำ  ผมคงยึดติดกับคำพูดของบัฟเฟตต์ที่ว่า  “ถ้าไม่พร้อมที่จะถือมัน 5 ปี  ห้านาทีเราก็ไม่ควรจะเข้าไปถือมัน”  และต่อไปนี้ก็คือสิ่งที่นักเล่นหุ้นโดยเฉพาะในช่วงนี้ชอบกันมากแต่ผม “ไม่เล่น” หรือไม่สนใจที่จะลงทุน
.
หุ้น IPO คือสิ่งที่ผมแทบจะ “เลิกจอง”  ไม่ต้องพูดถึงว่าจะเข้าไปซื้อในตลาดหุ้นในวันแรกที่เข้าตลาด  ผมคิดว่าหุ้น IPO นั้นไม่มีคำว่าถูกวัดจาก “พื้นฐาน” ของกิจการ  ถ้าซื้อแล้วถือยาว  โอกาสกำไรก็อาจจะน้อย  แน่นอนว่ามีหุ้น IPO บางตัวอาจจะถูกจริง  แต่นั่นคงเป็นเพราะที่ปรึกษา “ประเมินผิด” หรือสถานการณ์หลังจากเข้าตลาดแล้วเปลี่ยนไป  ทำให้บริษัทดีขึ้นมาก  แต่นั่นสำหรับผมคือข้อยกเว้น  และผมไม่อยากจะเสี่ยง  ดังนั้น  วิธีหลีกเลี่ยงที่จะซื้อหุ้นแพงอย่างหนึ่งก็คือ  ไม่จองหุ้น IPO  เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ  เราก็แทบจะไม่เคยได้รับจัดสรรหุ้น IPO จำนวนมากอยู่แล้ว  ดังนั้น  ถึงจะทำกำไรได้ในวันหุ้นเข้าตลาด  มันก็ไม่มีนัยสำคัญกับผลตอบแทนของพอร์ตโดยรวม
.
หุ้นที่เป็น Cyclical เช่นหุ้นเดินเรือหรือหุ้นเหล็กที่กำลังร้อนแรงในช่วงเร็ว ๆ  นี้ เป็นหุ้นกลุ่มหนึ่งที่ผม  “Just Say No” คือไม่สนใจจะเข้าไปซื้อหรือเข้าไปเล่น  ว่าที่จริงเมื่อหลายเดือนก่อน  ก่อนที่ราคาหุ้นในกลุ่มเดินเรือจะวิ่งขึ้นไปมาก  ผมก็ได้ข่าวจากคนที่อยู่ในวงการว่าค่าระวางเรือกำลังจะขึ้นแรงและราคาหุ้นก็น่าจะขึ้นตามอย่างที่เคยเกิดทุกครั้ง  แต่ผมก็ไม่ได้เข้าไปซื้อหุ้น  พูดตามตรง  ผมเองไม่ได้มีความรู้อะไรเกี่ยวกับการขนส่งสินค้าทางเรือ  ดังนั้น  ผมก็ไม่แน่ใจว่ามันจะขึ้นต่อไปและนานมากน้อยแค่ไหน  ผมแค่รู้ว่าโอกาสที่มันจะสูงอย่างนั้นตลอดไปมีน้อยและในที่สุดก็จะตกลงมาและราคาหุ้นที่ขึ้นไปนั้นก็มักจะเกินพื้นฐาน  บางทีเกินไปมาก  ดังนั้น  ความเสี่ยงก็จะสูงโดยเฉพาะถ้าเราเข้าซื้อหุ้นในยามที่ราคาขึ้นไปมากแล้ว และนั่นก็คือสิ่งที่ผมเห็นมาเป็นระยะตลอดหลายสิบปีที่ผ่าน  ซึ่งก็น่าจะมีผลทำให้ผมไม่สนใจเข้าไปร่วมในการเก็งกำไรหุ้นที่เป็นวัฎจักร  แม้ว่าบางครั้งผมจะคิดว่าคราวนี้อาจจะทำเงินได้ง่าย ๆ ก็ตาม 
.
หุ้นที่ “ขายสตอรี่” คือหุ้นที่วิ่งขึ้นไปแรงเพราะบริษัทมีแผนที่จะ “ลุย” ธุรกิจหรืออะไรบางอย่างที่กำลังเป็นเทรนด์  เช่น  การขายผลิตภัณฑ์กัญชาหรือไปทำโรงไฟฟ้าหรือทำแบตเตอรี่  สิ่งต่าง ๆ  เหล่านี้เป็นของใหม่ที่อาจจะไม่ได้ทำเงินหรือทำให้ขาดทุนก็ได้โดยเฉพาะถ้าบริษัทไม่ได้มีประสบการณ์หรือมีความได้เปรียบอะไรเมื่อเทียบกับคนอื่นและที่ทำอยู่แล้ว  ดังนั้น  ผมจึงมักจะ  “Say no to story”  และจะไม่ให้ค่า  ราคาที่ผมจะจ่ายนั้น  จะต้องคิดเฉพาะสิ่งที่บริษัทมีอยู่เท่านั้น  และหุ้นที่มีสตอรี่มักจะมีราคาแพงเนื่องจากมีการเก็งกำไรสูง  ดังนั้น  ผมจึงมักจะไม่ซื้อหุ้นที่มีสตอรี่
.
หุ้นไฮเท็คซึ่งแน่นอนรวมถึงหุ้นดิจิตอลที่มีศักยภาพในการเปลี่ยนโลกได้  เป็นอีกกลุ่มหนึ่งที่ผม  “Just Say No”  ไม่ใช่เพราะผมไม่เชื่อว่ามันจะเปลี่ยนได้จริง  ผมคิดว่ามันกำลังจะเปลี่ยนอยู่แล้ว  แม้แต่ตัวเองทุกวันนี้ที่ยังไม่ชำนาญการใช้เทคโนโลยีใหม่เท่าที่ควร   แต่ก็ต้องใช้แทบจะตลอดเวลา  เหตุเพราะมันมีความจำเป็นต้องใช้เนื่องจากสิ่งเก่า ๆ  กำลังเลิกไป  หรือประสิทธิภาพต่ำกว่าของใหม่มาก  แต่สิ่งที่ทำให้ผมไม่กล้าที่จะลงทุนซื้อหุ้นอยู่ที่ “ราคา” ของหุ้นที่มักจะสูงมากจนทำให้คนที่เน้น “Value” อย่างผมรับไม่ได้  เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ  การประมาณและประเมินผลประกอบการของกิจการนั้นทำได้ยากเนื่องจากมันเป็น “ของใหม่” ที่ไม่มีใครรู้ว่ายอดขายจะโตแค่ไหนและกำไรจะเป็นอย่างไรในอนาคตอันไกล  นอกจากนั้น  ธุรกิจไฮเท็คหรือดิจิตอลเองนั้น  ก็มักจะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว  และมีโอกาสที่จะถูก Disrupt ด้วยเทคโนโลยีที่ “ใหม่กว่า” ได้เสมอ  ที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งก็คือ  ผมกลัวว่าซื้อหุ้นพวกนี้ไปแล้วเกิดการปรับตัวลงครั้งใหญ่ของหุ้น  ผมจะทำอย่างไร?  
.
เรื่องของเงินคริปโตหรือพวก “เหรียญ” ดิจิตอลต่าง ๆ  ที่ร้อนแรงจนแทบ “ไหม้” ในช่วงนี้เนื่องจากราคาขึ้นไปหลายเท่าหรือหลายสิบเท่าในเวลาปีสองปีนั้น  เป็นสิ่งที่ผม “Say No” ไม่ใช่ว่าผมไม่รู้ว่ามันคืออะไรหรือทำอะไรหรือมีประโยชน์อย่างไร  แต่อยู่ที่ความไม่แน่นอนว่ามันจะสามารถรักษาอัตถะประโยชน์ของมันได้มากและยาวนานแค่ไหน  เหตุก็เพราะว่า “คู่แข่ง” หรือเหรียญใหม่ ๆ  สามารถที่จะถูกสร้างขึ้นมาได้เสมอ  นอกจากนั้น  ค่าที่ว่าเรื่องของเงินตราเป็นสิ่งที่รัฐบาลทั่วโลกต่างก็ควบคุมเพื่อผลในการสร้างความมั่นคงและการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ  ดังนั้น  เหรียญที่จะมา “ทำลาย” หรือ Disrupt เงินของรัฐจึงอาจจะถูกกีดกันโดยรัฐบาลต่าง ๆ  ทำให้ไม่สามารถเติบโตได้  ตัวอย่างล่าสุดก็คือข่าวที่ว่าอเมริกาจะเก็บภาษีกำไรจากการซื้อขายคริปโตในอัตราที่สูงมากก็ได้ทำให้ราคาบิทคอยน์ตกลงมาระดับ 10% ในวันเดียว  ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความเสี่ยงที่สูงมากสำหรับการลงทุนในเหรียญดิจิตอลเหล่านี้
.
ผมไม่รู้ว่าการ “Just Say No” ในเรื่องต่าง ๆ  เกี่ยวกับการลงทุนเช่นที่ผมทำอยู่นี้  จริง ๆ แล้วให้ผลที่ดีหรือเสียกันแน่กับผลตอบแทนการลงทุนระยะยาวของผม  แต่ที่รู้แน่ ๆ ก็คือมันช่วยให้ผม “จำกัด” ตัวเองให้ทำเฉพาะในสิ่งที่อยู่ใน  “Circle of Competence” หรือความรอบรู้ของผม  พูดง่าย ๆ  สิ่งที่เราไม่รู้  เราก็จะไม่ทำ  แน่นอนว่า  ผมไมได้ Just Say No 100%  ตัวอย่างเช่น  บางครั้งผมก็ซื้อหุ้นจอง  บางครั้งอาจจะซื้อหุ้นวัฏจักรหรือหุ้นไฮเท็ค  แต่ก็จะเป็น “ข้อยกเว้น”  และก็ต้องมีเหตุผลพอ   และเหตุผลนั้นจะต้องไม่ใช่เพราะความโลภ  อยากรวยเร็ว  เพราะนั่นจะเป็นอันตราย  ว่าที่จริง  เหตุผลที่คนจำนวนมากแห่กันเข้ามาเล่นหุ้นที่เก็งกำไรสูงมากจากหุ้นหรือเหรียญดิจิตอลต่าง ๆ  ก็คือ  ความโลภ  ซึ่งเป็นสิ่งที่ผมพยายามหลีกเลี่ยงนั่นเอง
.
Credit: เว็ป vietnamvi.com
=======
.
#ชุดติวสอบ > IC PLAIN ( P1+p2+p3 ) เเละ license ต่างๆ
#หนังสือสรุปเนื้อหา + #เเนวข้อสอบ + #โปรเเกรมจำลอง
.
สอบออนไลน์เสมือนสอบจริง
✅ IC Plain (P1)
✅ IC Complex (P2)กองทุนตราสารหนี้ซับซ้อน
✅ IC Complex (P3)อนพันธุ์ เช่น Tfex
✅ นายหน้าประกันวินาศภัย
✅ ตัวเเทนประกันชีวิต
...
ดูรายละเอียดเพิ่มเติม ► www.singlelicenseman.com